ใจแข็งแรง
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบปัญหาธรรม วันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
มันมีคำถามมาเหมือนกันแต่เอาไว้ก่อน เราจะพูดตอนนี้เลยล่ะ อันนี้รู้สึกว่าจะเป็นประเด็น มีคนถามปัญหาหลายปัญหาอันนี้
ประเด็น : เวลาเราภาวนา ทุกคนตั้งใจภาวนา แต่การภาวนา มันภาวนาจากความไม่เข้าใจของตัวเอง เพราะความไม่เข้าใจของตัวเอง
หลวงพ่อ : เวลาเรากำหนด พอกำหนดสิ่งที่ไม่เคยพบเคยเห็น เด็กๆ นี่นะมันได้ของเล่นใหม่มันจะดีใจ เด็กๆได้ของเล่นใหม่มันจะดีใจมาก มันจะโดดโลดเต้นเลยล่ะ เพราะมันได้ของเล่น ถูกใจมาก แล้วพอของเล่นเราให้แปลกประหลาดเข้าไป มันจะดีใจมากเข้าไปใหญ่เลย ใจก็เหมือนกัน ใจเวลาหัดประพฤติปฏิบัติ เวลามันแค่สงบร่มเย็นเข้ามา ยังไม่เป็นสมาธิ เราก็ตื่นเต้นไปกับมันแล้ว เหมือนกับเด็กได้ของเล่น พอเด็กได้ของเล่น มันจะดีใจมันจะตื่นเต้นของมัน เด็กได้ของเล่น มันก็ของเล่น เห็นไหม ของเล่นคืออะไร ของเล่นคือการพัฒนาการของใจของเด็ก เด็กมันจะพัฒนาการเพราะของเล่น มันจะพัฒนาการขึ้นมา ให้มันฉลาดขึ้นมา ให้มันดีขึ้นมา เพราะของเล่นนั้น
แต่ตัวมันเองล่ะ ตัวจิตล่ะ ตัวจิตเวลาภาวนาไปแล้ว เห็นไหม มันเห็นอะไรของมันล่ะ มันรู้อะไรของมันล่ะ แต่เพราะเราการปฏิบัติใหม่ เห็นไหม เราอ่อนแอ จิตเราอ่อนแอ จิตเราไม่เข้มแข็ง พอจิตเราอ่อนแอ จิตเราไม่เข้มแข็ง พอเจอสิ่งใด เราก็จะตื่นเต้นไปกับมัน พอตื่นเต้นไปกับมัน ด้วยความไม่เข้าใจ เห็นไหม ปฏิบัติด้วยความไม่รู้ พอไม่รู้เจอสิ่งใดมันก็ มันยิ่งตื่นเต้น ยิ่งถนอม ยิ่งกอดติดไปเลยนะ
แล้วใครจะไปบอกอะไรก็ไม่ฟัง เมื่อก่อนนะ โอ้โฮ จิตทุกข์มาก ชีวิตนี้ลำบากมาก หัวใจมันอัดอั้นมาก เดี๋ยวนี้สบาย ทุกคนพูดอย่างนี้ เดี๋ยวนี้สบาย ก็เด็กได้ของเล่น เด็กได้ของเล่นมันก็สบาย เด็กไม่ได้ของเล่นมันกวนเรา มันร้อง มันงอแงตลอดเลย พอยื่นของเล่นให้มับ สบายล่ะ เด็กมันอยู่สบาย เดี๋ยวนี้สบาย เมื่อก่อนนะ โอ้โฮ ลำบากมาก ทุกข์มาก เดี๋ยวนี้สบาย จิตสบาย
นี่มันภาวนาด้วยความไม่รู้ เห็นไหม จิตใจอ่อนแอ ถ้าอ่อนแอจะเป็นอย่างนี้ จิตใจอ่อนแอ ปฏิบัติไป มันเป็นสามัญสำนึก การปฏิบัติอย่างนี้ มันก็เหมือนมนุษย์ มนุษย์เห็นไหม ดูสิ ดูวุฒิภาวะของคน บางคนวุฒิภาวะเขาควบคุมตัวเขาได้ มารยาทสังคมเขาดีมากเลย บางคน ควบคุมไม่ได้ หลายคนมาก เห็นไหม หลายคนมากมารยาทสังคมเขาฝึกของเขามา มารยาทสังคมเขาจะดีมาก แต่บางคนฝึกอย่างไรก็ฝึกไม่ได้
กิริยาท่าทางมันจะเป็นสภาวะแบบนั้น มันเป็นมารยาทสังคม มันเป็นเรื่องของโลกไง อันนี้จิตมันเป็นเรื่องของโลก แต่ถ้ามีครูมีอาจารย์นะ ท่านจะบอกว่าให้กำหนดให้ได้ กำหนด พุทโธ พุทโธ พุทโธ ให้จิตสงบเข้ามาให้ได้ ถ้าจิตสงบเข้ามา ถ้ามันสงบยังไม่ได้ เด็กมันก็อาศัยของเล่น ธรรมดาเด็กนะจิตไม่เคยภาวนา มันก็ภาวนาด้วยความไม่รู้ พอภาวนาด้วยความไม่รู้ มันก็เหมือนเด็กเลย เด็กมันงอแง มันเป็นธรรมชาติของเด็ก
ธรรมชาติของใจ ธรรมชาติที่รู้ ธรรมชาติที่ยึด ธรรมชาติที่มันรับรู้ มันเป็นเหมือนเด็กๆนี่แหละ เหมือนเด็กๆ แต่เราเห็นเด็กๆ เราก็ว่าเด็กๆ แต่เราเป็นผู้ใหญ่นะ เราแบ่งนะ เราเป็นผู้ใหญ่นั่นเป็นเด็ก แต่จิตเราเป็นเด็ก แล้วไม่รู้ว่าเป็นเด็กนะ มันทิฏฐิ ว่ามันแจ๋ว ทิฏฐิว่ามันแน่ ทิฏฐิว่ามันรู้ ทิฏฐิเป็นธรรมะ ทิฏฐิว่าเป็นความเข้าใจ แล้วพอมีใครมาบอก มีใครมาสั่งสอนไม่ฟัง ไม่ฟังนะ พอไม่ฟัง เห็นไหม
เวลาครูบาอาจารย์ของเรา ท่านปฏิบัติมา ท่านเคยผ่านประสบการณ์อย่างนี้มา เหมือนเรา ทุกคนเราเห็นเด็ก เราก็รู้ว่าเราเคยเป็นเด็กมา แล้วเราโตเป็นผู้ใหญ่มา มันจะเป็นธรรมชาติเลยที่รู้อย่างนั้น นี่เป็นธรรมชาติเลยนะ แต่การเป็นครูบาอาจารย์ไม่ใช่ธรรมชาติ ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ธรรมชาตินะ ครูบาอาจารย์ พระเราบวชมา ๔๐๐,๐๐๐ องค์ เป็นครูบาอาจารย์หมด แล้วจะสั่งสอนให้เป็นพระที่ดี เป็นพระที่อยู่ในหลักในเกณฑ์ที่จะไม่ทำให้ใครเสียหายเลย
แต่นี่ดูสิ ดูพระเราสิ เห็นไหม พระถ้าเป็นครูบาอาจารย์ พระที่ผู้ประเสริฐ เราเคารพบูชา เราเคารพนบนอบ เราเชิดชูไว้ในหัวใจเลย เราซาบซึ้งมาก ด้วยความเมตตาด้วยปัญญาของท่าน ด้วยคุณธรรมของท่าน เรานี่ซาบซึ้งมากเลย เห็นไหม แล้วพระทั่วไปล่ะ ถ้าพระทำให้เราเห็นแล้วมันขัดแย้งในหัวใจ ขัดแย้งไปหมดเลย เห็นไหม นี่ไง นี่ธรรมชาติเป็นอย่างนี้ หมายถึงครูบาอาจารย์ไม่ได้มาด้วยธรรมชาติ
ครูบาอาจารย์ท่านมาด้วยวุฒิภาวะ ด้วยการประพฤติปฏิบัติ ด้วยการขวนขวาย ด้วยการฝึกฝน ด้วยการกระทำ มันมีกระทำมา เพราะมีกระทำมาอย่างนั้น ถึงเป็นครูบาอาจารย์ขึ้นมาได้ เพราะอะไร พระบวชแล้วก็คนบวชเป็นพระ มันก็แค่เพศ แค่เปลี่ยนสภาวะของสังคมเท่านั้นเอง สภาวะของสังคมเป็นฆราวาส ใช่ไหม เป็นคฤหัสถ์ ใช่ไหม พอเราบวชพระเราก็เป็นพระ มันก็เปลี่ยนจากฆราวาสมาเป็นพระเท่านั้น เหมือนเปลี่ยนทะเบียนบ้านจากนาย ก นาย ข เป็นภิกษุ
เปลี่ยนเป็นภิกษุ ธรรมดาตามกฎหมายต้องย้ายเลย ย้ายจากทะเบียนบ้านเหมือนย้ายเข้าย้ายออก เพียงแต่ว่าเราอนุโลมกัน อนุโลมกัน บวช ๕ วัน ๗ วัน ก็ไม่เป็นไร ต่างๆก็ไม่เป็นไร แต่ตามกฎหมายมันต้องเป็นอย่างนั้นเลย เห็นไหม ดูสิ เวลา ส.ส. บวชพระขัดกับ ส.ส. เลยนะ เพราะอะไร ห้ามการบวชพระ เพศบรรพชิตนี่ มันโดยกฎหมายไง นี้โดยกฎหมายเวลาไปบวชแล้วคนก็มาบวชเป็นพระ
พอบวชเป็นพระขึ้นมา เขาปรารถนาเลยนะ โอ้โฮ อาจารย์เรานะสุดยอดเลย ก็คน แต่มันจะเป็นครูบาอาจารย์ของเราขึ้นมาได้ เพราะการประพฤติปฏิบัติไง การฝึกฝนไง เพราะหัวใจมันไขว่คว้าไง หัวใจได้ประพฤติปฏิบัติ มันได้กระทำของมันมาไง สิ่งที่กระทำมา เห็นไหม มันก็เหมือนเด็กนี่ เหมือนเด็กๆ เลย ได้ของเล่นใหม่ บวชใหม่ๆ ได้เพศใหม่นะ โอ้โฮ บุญกุศล โอ้โฮ มีความสุขนะ โอ้โฮ เรามีสถานะต่างกับโลกแล้วนะ โยมต้องยกมือไหว้เรานะ โยมต้องทำบุญกุศลกับเรานะ เห็นไหม นี่เด็กได้ของเล่น
ถ้าเราปฏิบัติไป ถ้าจิตมันสงบขึ้นมา มันได้ของเล่น เราบอกถ้าจิตมันอ่อนแอ ความอ่อนแอของใจ ถ้าจิตมันอ่อนแอ มันต้องทำให้มันแข็งแรงก่อน ทุกคนไม่เชื่อใครหรอก พอครูบาอาจารย์บวชก็เป็นอย่างนี้ มันก็เป็นอย่างนี้ พอเป็นอย่างนี้ขึ้นมา พอปฏิบัติไปมันก็มีทิฏฐิอย่างนี้ พอมีทิฏฐิอย่างนี้แล้วนะ เห็นไหม
ครูบาอาจารย์ต้องมีวิธีการอย่างไร สอนอย่างไรให้ทำเข้าไป พอเราทำเข้าไปได้ เหมือนของมีน้ำหนัก เราหยิบของน้ำหนัก มันแตกต่างกัน มันต้องแตกต่างกันเป็นธรรมดา จิตของเขา เขาลึกซึ้งมากน้อยขนาดไหน เรื่องความจริงนะ จะบอกว่าเป็นเรื่องธรรมดานะ ธรรมะเป็นธรรมดา ธรรมะเป็นธรรมชาติ แต่ธรรมดาอันนี้เป็นธรรมดาโดยอริยสัจ มันไม่ได้ธรรมดาโดยเสกสรรปั้นยอเอา ธรรมดาโดยคำพูดมันไม่มีเนื้อหาสาระ
แต่ถ้าเป็นธรรมดานะ คนธรรมดาที่ไม่ธรรมดานี่สำคัญที่สุดเลย ไอ้คนที่มีศักยภาพมากดูแต่เรื่องเครื่องยนต์กลไก เรื่องศักยภาพ เรื่องโลกๆ สมมุติทั้งนั้น ไอ้คนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา มันไม่มีแรงขับของกิเลสไง สิ่งที่มันธรรมดาอย่างนี้ เวลาเราพูดถึง ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเห็นไหม นี่มันผ่านอย่างนี้มา พอผ่านอย่างนี้มา จิตเรามีความสงบเข้ามาเห็นไหม จิตใจมันจะเข้มแข็ง ถ้าจิตใจแข็งแรง จิตใจเข้มแข็ง ใจมันอ่อนแอ เพราะใจอ่อนแอ การปฏิบัติของเราก็เลย เป็นเด็กเล่นขายของกัน เด็กเล่นขายของ สักแต่ว่าปฏิบัติกิริยาเฉยๆ เท่านั้น เหมือนเด็กๆ เลย ดูสิ สมมุติเลยในประเทศไทย ประชากรทั้งหมดมีอายุแค่ ๘ ขวบ แล้วให้บริหารกันเอง ดูประเทศไทยจะไปรอดไหม มันก็เป็นประเทศไร้เดียงสาไง มันน่ารัก โอ้โฮ เด็ก ๗-๘ ขวบ เป็นนายกนะ บริหารกันนะ ในสังคมปฏิบัติเราเดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้ จิตใจอ่อนแอ พอจิตใจอ่อนแอ จิตใจไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ พอเจอสิ่งใดก็จะโดนเขาชักนำโดยง่าย
ถ้าจิตใจอ่อนแอ บริหารโดยเด็ก สังคมจะอยู่ไม่ได้ สังคมอยู่ไม่ได้เพราะอะไร เพราะการบริหารจัดการของเรา มันเข้าไปกระแสโลก อยู่ไม่ได้หรอก โลกมีการแข่งขัน โลกเขามีการแข่งขันนะ โลกเขามีผลประโยชน์นะ การธุรกิจการค้า อะไรต่างๆ เขามีการแข่งขันหมด เขามีแข่งขัน เขามีตั้งแต่บนโต๊ะ ใต้โต๊ะ เห็นไหม ตั้งแต่เรื่องปกติ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างการทูต ความสัมพันธ์ระหว่างการทหาร ความสัมพันธ์ระหว่างราชการลับ ความสัมพันธ์ของข้อมูล มันลึกลับซับซ้อนไปหมดหรอก แต่เด็กไม่ไร้เดียงสาไง เวลาเราปฏิบัติไป จิตเราถ้ามันไร้เดียงสามันอ่อนแอ เหมือนเด็กๆ เลยพอเจอเข้าไป
แล้วสังคมปฏิบัติเดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้ เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้จริงๆ ปฏิบัติกันเอากิริยากันมา ไปไหนไปปฏิบัติมา ไปวัดมา โอ้โฮ เป็นคนดี ไปวัดมา จริงๆ พูดอย่างนี้ไม่ใช่ดูถูกเหยียดหยามนะ บอกว่าเวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการ ท่านต้องการให้เราพัฒนา ต้องการให้เราประพฤติปฏิบัติกัน แล้วเวลาปฏิบัติทำไมไปดูถูกเขาว่าทำไมปฏิบัติแล้วเป็นเรื่องเด็กๆ คือเอาไม่จริงกันไง คือทำ สักแต่ว่าทำ ทำกันเป็นกิริยาเท่านั้น
แต่ถ้าทำตามความเป็นจริงขึ้นมา เพราะอะไร เพราะถ้าทำความเป็นจริง ดูสิเราทำธุรกิจกัน เราทำหน้าที่การงานกัน เราต้องตั้งใจไหม เวลาเขาปฏิบัติกันเขาเอาจริงเอาจังขึ้นมา เวลาเอาจริงขึ้นมา บอก โอ้โฮ มันลำบาก เพราะมันลำบาก มันทำอะไรมันทุกข์ยากไปหมดเลย ด้วยความอ่อนแอเห็นไหม จิตใจผู้นำก็อ่อนแอ จิตใจสังคมก็อ่อนแอ พออ่อนแอ ถ้ามันลำบากใช่ไหม โอ๋ สบายๆ เลยเนาะ โอ๋เข้ามา โอ๋อย่างดีเลยนะ บริการเลย เดี๋ยวนี้สปามันทำหมดเลยนะ ไปปฏิบัติก็เท่ากับไปสปาในวัดนั่นน่ะ วัดเขาประคบประหงมให้อย่างดีเลย แล้วอย่างนี้เป็นการปฏิบัติหรือเป็นการพอกพูนกิเลส
นี่สังคมมันเป็นอย่างนี้ ถ้าจิตใจมันอ่อนแอ มันอ่อนแอตั้งแต่หัวหน้า อ่อนแอมาทั้งหมดเลย ถ้าอ่อนแอ เห็นไหม แต่ครูบาอาจารย์เราปฏิบัตินะมันต้องลงทุนลงแรง ต้องทำจริง ดูสปาเขาทำไว้ทำไม สปาคนทำธุรกิจ เห็นไหม เขาลงทุนลงแรง เขาต้องวางแผนของเขา การบริการของเขาจะแตกต่างจากสังคมอย่างไร นี่ก็เหมือนกัน ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเพื่อที่จะเอาชนะใจตัวเอง โครงการที่จะลงทุนลงแรง โครงการที่เราจะทำ เราจะทำของเรา มันจะวางแผนอย่างไร ผู้ที่ทำเจ้าของโครงการนั้นเขาได้ผลประโยชน์นั้นใช่ไหม
หัวใจเราก็เหมือนกัน ถ้าหัวใจเรากลับมาที่ พุทโธ พุทโธ พุทโธ หรือ ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าจิตใจมันแข็งแรงขึ้นมานะ มันจะเห็นความต่างไง เด็กทั้งหมดปกครองประเทศไทยอยู่กับผู้ใหญ่ปกครองเพื่อพิสูจน์กัน ผู้ใหญ่กับเด็กใครจะพัฒนาประเทศไปได้เร็วกว่ากัน จิตใจของเราถ้ามันมี พุทโธ พุทโธ พุทโธ จนจิตมันสงบเข้ามา จิตมีหลักมีเกณฑ์ของเราเข้ามา พอมีหลักมีเกณฑ์เข้ามา
เวลาเกิดปัญญาขึ้นมา ปัญญามันจะทะลุทะลวงกิเลส ปัญญาจะทะลุทะลวงความรู้สึกของเรานะ มันแตกต่างกับความเป็นไปของเด็ก เพราะความเป็นไปของเด็ก มันเป็นการไร้เดียงสา มันเป็นสังคมของเด็ก เป็นสังคมที่โลกเขายกเว้น กฎหมายยังยกเว้นเด็กเลย เด็กทำความผิดนี่กฎหมายยกเว้น เห็นไหม นี่เพราะอะไร เพราะเด็กมันเป็นความไร้เดียงสา คือธรรมชาติของเขาสูงส่งได้แค่นี้ พิสูจน์แล้วจะทำไม่ได้อย่างนี้ เหมือนหมาเลย อายุของหมา หมามีความฉลาดเท่าเด็กอายุ ๘ ขวบ มันเป็นสังคมของหมา เวลาหมาทำความผิด อ๋อ นี่ก็ธรรมชาติของหมา
นี่ก็เหมือนกัน สังคมเขายอมกัน สังคมยอมรับกันเพราะว่าเด็กมันมีวุฒิภาวะได้ขนาดนี้ แต่เวลาเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา สังคมไม่ยอมรับแล้ว สังคมบอกว่าต้องมีวุฒิภาวะ ต้องมีความรับผิดชอบ ผิดกฎหมายต้องว่าตามกฎหมาย ผิดถูกว่าไปตามกฎหมาย ตามกฎหมายเพราะอะไร เพราะว่าเป็นผู้ใหญ่มีความสำนึก มีวุฒิภาวะที่รู้ผิดชอบชั่วดีได้ พอโตขึ้นมาเห็นไหม ถ้าโตขึ้นมา มันจะรู้เห็นว่าสิ่งที่ทำขึ้นมา ถ้าใจอ่อนแอมันเป็นอย่างนั้น
ฉะนั้นคำว่า พุทโธ พุทโธ พุทโธ คำว่า ปัญญาอบรมสมาธิ หรือพุทโธ มีคุณค่ามาก มีคุณค่าเพราะทำให้จิตใจเข้มแข็ง ถ้าจิตใจเข้มแข็ง ปัญญามันเกิดนะ เพราะสัมมาสมาธิเป็นฐานโดยธรรมชาติเลย ถ้าธรรมชาติมันเป็นฐานอยู่แล้วเป็นธรรมชาตินะ ถ้ามีสัมมาสมาธินะ ถ้ามันเกิดปัญญา มันจะเกิดวิปัสสนาญาณ คำว่าวิปัสสนานะ สติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม โม้กันไปโม้กันมา สติปัฏฐาน ๔ มันเป็นทฤษฎี เหมือนธรรมะเด็กๆไง
พอเด็กๆ มันทำขึ้นมาเห็นไหม ดูสิ เวลาเรามีเงินมีทองขึ้นมา เด็กมันมานับให้เรามากกว่าเราอีก มันสมมุติมันทำธุรกิจเล่นกันขายของ เงินเป็นถุงๆ แล้วเงินมันใช้ได้ไหม นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ว่ามันเป็นความเป็นจริงขึ้นมา เห็นไหม สิ่งที่เป็นความจริงถ้าผู้ใหญ่เขาทำขึ้นมา มันเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เพราะจิตมันมีสัมมาสมาธินะ ถ้าใจแข็งแรง ใจแข็งแรงเวลาปัญญามันเกิด มันจะเกิดวิปัสสนาโดยข้อเท็จจริง
แต่ความเป็นจริง สติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม ของเด็กนี่ มันเป็นการเล่น มันเป็นการเล่นเลียนแบบผู้ใหญ่ ถ้าไม่มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน อะไรต่างๆ นี่ สิ่งนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำได้จริงใช่ไหม เหมือนเราทำได้จริง ดูสิ เดี๋ยวนี้นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จเห็นไหม เขาจะเขียนประวัติของเขา ให้คนศึกษาประวัติของเขาทั้งนั้น
นี่ก็เหมือนกัน เราก็ไปศึกษาประวัติของเขาไง เวลาปฏิบัติธรรมก็ศึกษาประวัติของพระพุทธเจ้าไง ศึกษาทฤษฎีนั้นมา พอทฤษฎีนั้นไม่มา โอ้โฮ กาย เวทนา จิต ธรรมนะ สติปัฏฐาน ๔ นะ พุทโธ พุทโธ นี่มันเป็นสมถะ มันไม่มีประโยชน์ สติปัฏฐาน ๔ มันใช้ปัญญานะ เราไม่ใช้ปัญญากัน ธรรมะเด็กๆ เด็กๆ ไปเล่นขายของ มันไม่มีพื้นฐานมันไม่เป็นจริงขึ้นมาหรอก เป็นสังคมเด็ก ประเทศไทยปกครองด้วยเด็ก ผู้ปฏิบัติปกครองด้วยเด็กๆ ทำกันด้วยเด็กๆ ไง แล้วก็มีความสุขไง เดี๋ยวนี้สบายทุกคนสบายหมดนะ สบายโดยความไม่รับผิดชอบไง ถามความสบายจริงๆ แล้วมันสบายจริงหรือเปล่า มันจะสบายอย่างไรก็แล้วแต่ มันมีจิตใต้สำนึกนะ มันมีความรับรู้อยู่ว่าเรามีอะไรอยู่ในหัวใจ เรามีเหมือนกับขยะหรือว่าความผิดพลาด เราซุกไว้ในหัวใจของเรา มันมีของมัน พูดกันด้วยความซื่อสัตย์สิ พูดกันด้วยความเป็นจริงสิ
นี่พอเป็นจริงบอกสบายๆ สบายๆ นี่เป็นมารยาทสังคมไง เห็นไหม สังคมที่อ่อนแอ จิตใจที่อ่อนแอ เป็นกันอย่างนั้น เป็นการปฏิบัติด้วยความอ่อนแออย่างนั้น ฉะนั้น ถ้าเราจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา ให้ทำความจริงขึ้นมา เราต้องมีสติ เราต้องกำหนด พุทโธ พุทโธ พุทโธ แล้วพอพุทโธเข้าไปนะ เพราะมันมีหลายคนมาถามปัญหานี้มาก ปฏิบัติแล้วนะ พิจารณาไปแล้วมันปล่อยวาง หลวงพ่อมันจะได้มันจะเสียอยู่อย่างนั้น
เราบอกพุทโธสิ พุทโธเข้าไป เดี๋ยวนี้นะใช้ปัญญามาขนาดนี้แล้ว จะกลับไปพุทโธ เดี๋ยวนี้เป็นผู้ใหญ่แล้วไม่พยายามกลับไปเป็นเด็ก ทุกคนเป็นผู้ใหญ่หมดแล้วกลับไปเป็นเด็กอายเขาตายห่า จะไปเล่นเป็นเด็กๆ ได้ยังไง เดี๋ยวนี้เป็นผู้ใหญ่แล้ว นี่ความคิดของสังคม แต่ความคิดของเรานะ เด็กมันกินอาหารอะไร เด็กมันก็กินข้าวปลาอาหารเหมือนเรา ผู้ใหญ่กินอะไร ผู้ใหญ่ก็กินข้าวปลาอาหารเหมือนกัน
จิตถ้ามันกำหนดพุทโธ พุทโธ มีคำบริกรรมมันมีพุทธานุสติ มันมีสติ มีปัญญา การควบคุมของมัน พอควบคุมของมันนะเหมือนนักกีฬา นักกีฬามีการหมั่นฝึกซ้อมมีความฟิตในร่างกายอยู่ตลอดเวลานี่ จะเรียกแข่งขันเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ถ้านักกีฬาปล่อยเนื้อปล่อยตัวนะ อ้วนฉุจนพุงพลุ้ยเลย นักกีฬาคนนี้จะไปแข่งกับใคร เป็นผู้ใหญ่หรือเป็นเด็กก็แล้วแต่ ถ้าเขาฟิตในร่างกายของเขา ร่างกายของเขาจะฟิตตลอดเวลา การที่เขาดูแลร่างกายของเขา เขาจะออกกำลังกายของเขา
ไอ้หัวใจของเราถ้ามันจะแข็งแรงมันต้องพุทโธ พุทโธ พุทโธ มันทำให้ใจแข็งแรง ปัญญาอบรมสมาธินี่รักษาใจไว้ ถ้าใจมันแข็งแรงขึ้นมา เราจะพุทโธ พุทโธ ให้ใจมันแข็งแรงขึ้นมา ดูสิ ดูนักกีฬาเห็นไหม นักกีฬาที่มันแข็งแรง เห็นเขาแข่งขันสิมันทำความผิดพลาด ทำไมไม่ให้ฉันทำๆ ฉันทำได้ดีกว่านั้น นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตเราแข็งแรงขึ้นมา เราเห็นการกระทำที่เขาหลอกกัน เห็นไหม สังคมเด็กๆ การภาวนาแบบจิตใจที่อ่อนแอ เรารู้เราเห็นเลย แล้วมันสังเวช มันปลงธรรมสังเวช
ว่าสังคมไทยสังคมชาวพุทธมันเป็นได้แค่นี้หรือ แล้วมันไม่ได้เป็นไปแค่นี้โดยธรรมดานะ มันเป็นไปแค่นี้และจำนวนมากด้วย จำนวนมากเพราะอะไร จำนวนมากเพราะว่า ขนโคกับเขาโค สังเกตได้ไหม สังคมไทยหรือสังคมโลก ผู้ที่ประสบความสำเร็จมีกี่คน ผู้ที่บริหารจัดการ เป็นรัฐบุรุษ เป็นได้สักกี่คน มันมีไหมสังคมในโลกนี้ แต่ถ้าพูดถึงตาสีตาสา พูดถึงรากหญ้ามีเยอะแยะไปหมดเลย ในเมื่อสังคมเป็นอย่างนั้น
การปฏิบัติเป็นอย่างนั้น เราเห็นแล้ว เราสลดสังเวชไหม เราสลดสังเวชนะ ทีนี้ย้อนกลับมา เราจะพัฒนาของเรา เราจะทำให้จิตใจเราเข้มเเข็งขึ้นมานี่ เราอย่าไปฟังใคร กระแสสังคม เห็นไหม สิ่งที่เป็นสติปัฏฐาน ๔ ได้ใช้ปัญญา ได้ใช้ปัญญาในทางพุทธศาสนา สังคมอ่อนแอ จิตใจอ่อนแอ ความอ่อนแอของใจ ใจตัวเองไม่รู้ตัวเองอ่อนแอ แต่ครูบาอาจารย์ของเราเห็นไหม เข้มแข็งขึ้นมาเหมือนรัฐบุรุษ มีกี่คนในโลกนี้ รัฐบุรุษมีกี่คน ที่โลกนี้ที่ยอมรับนะ
แล้วรัฐบุรุษในมุมมองของเขา เป็นรัฐบุรุษหรือเป็นอาชญากร เป็นอาชญากรคือรวมประเทศรวมชาติต่างๆ รัฐบุรุษหรือเป็นอาชญากร ในมุมมองของผู้ที่เสียผลประโยชน์เขาก็มองว่าเป็นอาชญากร ในมุมมองของชาติตัวเองเขาก็ว่าเป็นรัฐบุรุษ แต่นี่มันเป็นเรื่องของโลกที่มันเป็นการสร้างเวรสร้างกรรม แต่ถ้าเป็นเรื่องของหัวใจนะ นี่ทิฏฐิมานะ กิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรานะถ้ามีสติปัญญาของเรา มันจะเป็นรัฐบุรุษหรือเป็นอาชญากรล่ะ เพราะเราทำของเราเองใช่ไหม เพราะมันเป็นกิเลสใช่ไหม
การฆ่าที่ประเสริฐที่สุดคือการฆ่ากิเลส องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายกย่องมาก การฆ่าทุกอย่างผิดกฎหมายหมดนะ แล้วการฆ่ากิเลสจะฆ่าอย่างนั้นไหม สิ่งที่ทำๆ กันอยู่นั้นเป็นการโอ้โลมปฏิโลม เป็นกระแสสังคมให้เขายอมรับกัน เราจะบอกว่าเพราะในปัจจุบันนี้มีแต่จิตใจที่อ่อนแอ พอจิตใจของคนอ่อนแอ มันไม่มีหลักมีเกณฑ์ พอไม่มีหลักมีเกณฑ์ การกระทำอย่างนั้น มันเข้าไปเหมือนกับเอาหัวไปชนฝาไว้
ถ้าพูดโดยคนที่มีอำนาจวาสนา คนที่สร้างบุญกุศลมา มันรู้ตัวเองว่ามันอึดอัดขัดข้อง ใช่ มันสบายกว่าความเป็นไปของปุถุชน มันสบายกว่าตอนก่อนที่เราจะมาประพฤติปฏิบัติ ตอนที่เรามาประพฤติปฏิบัติเราเหมือนกับคนดิบๆ เหมือนกับคนอยู่ในกองไฟ ไฟมันเผาใจอยู่ตลอดเวลา พอเรามาประพฤติปฏิบัติเราดับไฟได้บ้าง เราถอนเชื้อได้บ้าง มันก็มีความเย็นสบายขึ้น ความร้อนมันผ่อนคลายลง ความร้อนในหัวใจนี้มันผ่อนคลายลง แต่ถ้าคนมีสติปัญญานะ คนที่มีสติปัญญา แล้วมีอำนาจวาสนา มันรู้ว่าไฟที่มันผ่อนคลายลงด้วยเราเติมเชื้อไฟเราดึงเชื้อไฟออก แต่ไฟมันยังคุกรุ่นอยู่ในหัวใจไง
แต่ถ้าจิตใจมันอ่อนแอ เวลามันเผาลนใจ เราโดนมันเผาลนอยู่นี่ เราก็ว่าสิ่งนี้เป็นความทุกข์สิ่งนี้เป็นความเร่าร้อน เวลาเราชักสิ่งที่เป็นเชื้อไฟ อะไรต่างๆ ออกไปบ้าง มีความร่มเย็นเป็นสุข มันคิดว่านี่เป็นธรรมนะ นี่ก็เป็นความอ่อนแอ อ่อนแอเพราะอะไร อ่อนแอเพราะไม่ฉุกคิด อ่อนแอเพราะไม่มีปัญญาว่าเห็นอะไรผิดเห็นอะไรถูกไง แต่ถ้าคนเข้มแข็ง พอมันเห็นผิดเห็นถูกขึ้นมา พยายามต่อสู้อยู่ แต่ถ้าไปไม่ได้ก็กลับมาพุทโธ พุทโธไง กลับมาพุทโธ พุทโธนี่
แต่ก่อนบอกทำพุทโธแล้วจะเสียเวลา เพราะว่าคนเรานี่ เราทำผลงานแล้ว ผลงานถ้ามันจะได้เสียขึ้นมา เราก็มุมานะจะทำให้มันจบไง เรามุมานะแต่มุมานะด้วยความเหนื่อยล้า ยิ่งทำแล้วมันยิ่งคลาดเคลื่อน แต่ถ้าเราวางงานนี้ไว้ก่อน งานนี้เรายังไม่จบ เราวางไว้ก่อนนะ แล้วเรากลับไปฟื้นตัวเราเอง แล้วเรากลับมาทำ งานมันจะทะลุผ่านไปๆ งานมันจะประสบผลสำเร็จ ผ่านเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไปเลย นี่ไงเราจะใช้ปัญญาขึ้นมาแล้ว เราชักฟืนชักไฟออกจากกองไฟแล้ว มันมีความร่มเย็นแล้ว แต่มันยังมีอะไรในใจอยู่เห็นไหม
ถ้าคนมีอำนาจวาสนามันจะเห็นความแตกต่าง มันจะกลับมาพุทโธ พุทโธ พุทโธ ถ้ากลับมาได้นะ แล้วพอกลับมาได้ พอมันมีกำลังขึ้นมาแล้วใช้ปัญญาออกไปเป็นวิปัสสนา กำลังที่เป็นวิปัสสนามันต้องมีสัมมาสมาธิ เห็นความทะลุ ความทะลุหมายถึงว่า การยื้ออยู่การขัดข้องใจอยู่ เหมือนกับว่านี่มันก็ปล่อยนะ เห็นไหม มันก็สบายๆ นี่ แต่มันมีอะไรอยู่ มันมีอะไรขัดข้องอยู่ เอ๊ะ มันมีอะไรขัดข้องอยู่พอจิตมันสงบเข้ามา ไอ้ขัดข้องมันเห็น มันจับต้องได้ แล้วมันแก้ไขได้ พอมันแก้ไขได้มันก็รู้แล้วใช่ไหมว่ามันมาได้เพราะอะไร มาได้เพราะคำว่า พุทโธ มาได้เพราะเราคำว่าพุทโธ เราต้องกลับมาที่พุทโธ คำว่าพุทโธ พุทโธ พุทโธ ฉะนั้น พุทโธ นี้มันทำให้ใจเข้มแข็ง
ใจของคนอ่อนแอ การปฏิบัติก็ลุ่มๆ ดอนๆ ล้มลุกคลุกคลานอยู่อย่างนั้น ทั้งๆ ที่ปฏิบัติอยู่เพราะเป็นความประมาท เพราะเป็นทิฏฐิมานะของใจ ทิฏฐิมานะของใจ ทุกคนต้องเข้าข้างตัวเอง อีโก้ของตัวเองมองธรรมะ ผ่านแว่นอีโก้ ด้วยตัวตนด้วยความรู้สึกของตัว แล้วก็คิดว่าคนอื่นหลอกเราไม่ได้ เราต้องรู้ของเราคนเดียว เราเข้าใจ มันมองตรงนั้น มันวางไม่ได้ ใครบอกก็วางไม่ได้ เพราะถ้าใครบอก มันจะเทียบเข้ามาเหมือนเรานะ
เพราะมันมีจินตนาการอย่างไรใช่ไหม อาจารย์บอกก็เหมือนเราเลย อันเดียวกัน อันเดียวกัน อันเดียวกัน อยู่อย่างนั้น แต่ถ้าพอเราพิสูจน์อย่างที่ว่า ถ้าเราทิ้งแล้ว เรากลับมาพุทโธให้จริงให้จังนะ พุทโธ พุทโธ เพราะเราพุทโธเข้ามา เราทำความสงบเข้ามา เราถึงชักฟืนชักไฟออกมา เป็นบางช่วงบางตอน ที่เราชักฟืนชักไฟออกจากใจเรานี่ ก็เพราะคำบริกรรมเพราะการใช้ปัญญาอบรมสมาธินี่แหละ เพียงแต่ว่าโดยพื้นฐานใช่ไหม
ถ้าวิปัสสนาญาณ มันจะแก้กิเลส สติปัฏฐาน ๔ การใช้ปัญญา เราก็คิดว่าเราใช้ปัญญาแล้วมันเป็นก้าวที่ ๒ แล้ว เหมือนกับเรากินอาหารเสร็จแล้ว เราก็จะกินของหวาน พอกินของหวานเสร็จแล้ว เราก็ดื่มน้ำเราก็จบ นี่เรากินอาหารเสร็จแล้วเราจะไปกินของหวาน นี้พอกินอาหารเสร็จแล้ว มันเสร็จไหมล่ะ เราไปแบ่งขั้นตอนกันเอง แต่บางคนกินของหวานก่อนก็ได้ เรากินของหวานก่อน แล้วกินอาหารทีหลัง แล้วดื่มน้ำทีหลังก็ได้ มันกลับไปกลับมาเพราะว่าอะไร เพราะกิเลสมันรู้ตัวอยู่แล้ว กิเลสมันคิดว่าเราจะต่อสู้กับมันอยู่แล้ว เราตั้งท่าอยู่แล้ว เห็นไหม มันก็สร้างภาพขึ้นมา ถ้าเราทำสิ่งใดก็แล้วแต่มันก็ต้องเป็นประสบการณ์ของเรา
ถ้าเรากลับมาพุทโธ พุทโธ เห็นไหม เพราะสิ่งที่เราได้มา เพราะเรามีพุทโธของเรา เรามีปัญญาอบรมสมาธิของเรา ปัญญาถึงได้เกิดอย่างนี้ มันได้ชักฟืนชักไฟเราออก ถ้าจิตใจอย่างนี้แล้วกลับมาพุทโธต่อ ทำไปติดต่อกันไป พุทโธต่อ ใช้ปัญญาต่อ พุทโธสำคัญมาก พุทโธสำคัญมาก พุทโธนี่ทำให้เราทะลุทะลวงไปได้ ถ้าไม่พุทโธเหมือนรถขับไปกลางทาง น้ำมันหมดแล้วก็จอดรออยู่อย่างนั้น พุทโธก็ไปเติมน้ำมันมันไง ถ้าน้ำมันไปหมดกลางทาง น้ำมันไปหมดอะไรต่างๆ เอ็งจะไปต่อกันได้อย่างไร
ทำชักฟืนชักไฟอยู่พักหนึ่งจิตใจดีขึ้นอยู่พักหนึ่ง สบายๆ สบายๆ รถมันก็ไปคาอยู่บนยอดเขา ถอยหลังก็ไม่ได้นะ ไปข้างหน้าก็ไม่ได้นะ ถอยหลังรถไม่มีน้ำมัน รถติดเครื่องไม่ได้ รถมันลงเหวแน่นอน ไปข้างหน้ายิ่งเอาไม่อยู่นี่ตกเหวไปเลย แต่กลับมาพุทโธ พุทโธ เห็นไหม พอมีน้ำมันเครื่องยนต์พร้อมทุกอย่าง เห็นไหม จะถอยหลังก็ได้ จะไปข้างหน้าเครื่องยนต์เราติดแล้วใช่ไหม จะใช้เบรกก็ได้ ใช้เครื่อง ใช้ตัวช่วยประคับประคองอย่างไรก็ได้
นี่ก็เหมือนกัน จะบอกให้พุทโธอย่างเดียว ถ้าจิตใจเข้มแข็ง จิตใจแข็งแรง เราจะทำของเราได้ ถ้าจิตใจของเราอ่อนแอ ความอ่อนแอของใจ เห็นไหม ความอ่อนแอของใจ แล้วกิเลสมันครอบงำอีกชั้นหนึ่ง จิตใจก็อ่อนแออยู่แล้ว พอกิเลสครอบงำเข้าไปมืดแปดด้านเลย หันรีหันขวางนะ อันนี้ดีอย่างหนึ่ง มันมีครูบาอาจารย์ของเราไง ครูบาอาจารย์ของเรานี่ท่านผ่านแล้ว ท่านเคยขับรถมาหมดแล้ว คนขับรถมามันต้องมีสักวันหนึ่ง เห็นไหม รถต้องเสีย รถต้องเสื่อมสภาพ
ทุกอย่างมันต้องมีการบำรุงรักษา คนที่ขับรถมา คนที่ใช้งานมาตลอดชีวิต การบำรุงรักษา การดูแลรถของเขา เขาเข้าใจได้ แต่เรามันมือใหม่หัดขับ มาถึงก็ไม่รู้เรื่องสิ่งใดเลย แล้วมือใหม่หัดขับ รถของเราก็ยังใหม่ๆ นี่แหละ แต่พวกพลังงานมันหมดได้ พลังงานเราต้องดูแลตลอดเวลา การดูแล อย่างไฟอย่างต่างๆ การดูแลรักษาเห็นไหม ฉะนั้นพุทโธ มันดูแลรักษาใจ ปัญญาอบรมสมาธินี้ดูแลรักษาใจ
จะเน้นย้ำว่าสมถะนี่มีคุณค่ามาก สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน แต่คำว่าสมถกรรมฐานเป็นพื้นฐานทำให้จิตใจเข้มแข็ง จิตใจแข็งแรงขึ้นมาเพื่อประโยชน์กับใจของเรา แล้วถ้าจิตใจแข็งแรงขึ้นมาเวลาเกิดปัญญา เห็นไหม ปัญญาที่เกิดจากพื้นฐานที่เกิดจากใจที่ดีแล้ว มันจะทะลุทะลวงเป็นวิปัสสนาญาณ เป็นการชำระกิเลส แต่ปัญญาที่ไม่มีพื้นฐาน ไม่มีสัมมาสมาธิ เป็นปัญญาโลก ปัญญาโลกคือมันเกิดบนภวาสวะคือมันเกิดบนจิต จิตนี้มีอวิชชา จิตนี้มีกิเลส เพราะสิ่งที่เกิดจากกิเลส เกิดจากอวิชชานี่ มันไม่สะอาดบริสุทธิ์ เห็นไหม มันไม่สะอาดบริสุทธิ์ มันไม่ใช่ปัญญาเกิดบนสมาธิ
ปัญญาเกิดบนสมาธิ เห็นไหม จิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ น้ำสะอาด วัตถุต่างๆ ที่สะอาด ที่เป็นสัมมา ที่ควรแก่การงาน มันใช้ประโยชน์ได้ทุกๆ อย่างเลย ถ้าจิตใจที่มันไม่สะอาด เห็นไหม น้ำสกปรก น้ำโสโครกต่างๆ เราจะเอามาใช้ประโยชน์สิ่งใดได้ เอาไปทำปุ๋ยนะต้นไม้มันยังตายเลย นี่ก็เหมือนกัน จิตใจความคิด ความคิดที่เกิดจากภวาสวะ เกิดจากภพ เกิดจากโลก มันเกิดจากกิเลสตัณหาทะยานอยาก ความคิดเรานี่ที่ศึกษาธรรมะกันอยู่นี่
ฉะนั้น พุทโธ พุทโธ นี่สำคัญตรงนี้ ๑. ทำให้รากฐานนี้สะอาดบริสุทธิ์ สะอาดบริสุทธิ์แบบโลกนะ สะอาดบริสุทธิ์แบบสัมมา ความพร้อม ความดี ความงาม สะอาดบริสุทธิ์อย่างนี้ แต่ถ้าไม่มีสัมมาสมาธิมันเป็นความเห็นของตัวทั้งหมด ทั้งๆ ที่เป็นสมาธิเป็นมิจฉายังได้เลย นี่เพราะมีศีลมาประกอบใช่ไหม
ฉะนั้น สิ่งที่เป็นสมถะ มันเป็นพื้นฐานและสำคัญมาก สำคัญในการปฏิบัติ แต่พระพุทธศาสนา ศาสนาแห่งปัญญา เราก็คิดว่าเราใช้ปัญญากันไปเลย แต่เป็นปัญญาบนฐานที่สกปรก พอปัญญามีฐานที่สกปรกมันก็ย้อนกลับมาเหมือนกับเด็กอ่อน สังคม กระแสสังคม สังคมอ่อนแอ สังคมเด็กๆ สังคมที่เอาตัวเองไปไม่รอด แต่ถ้าสังคมเป็นผู้ใหญ่สังคมที่ดีนะ มีครูบาอาจารย์คอยแนะนำ สังคมที่ดีแล้วใครเป็นคนที่ดีล่ะ
กว่าเด็กจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา พัฒนาขึ้นมา ใช้พลังงานมานี่ใช้มาทั้งชีวิตนี่มันเสียเวลา แล้วเวลาของเราทุกคนมีเป้าหมายไง ว่าชีวิตนี้เราจะประสบความสำเร็จอย่างไร เราต้องการเป้าหมายชีวิตอย่างไร แล้วก็ตั้งเป้าหมายกัน นี่ก็เหมือนกัน จากเด็กเป็นผู้ใหญ่ใช่ไหม แต่ในธรรมะนะ สามเณร ๗ ขวบ เป็นพระอรหันต์ ผู้เฒ่าบวชมาแล้วประพฤติปฏิบัติก็เป็นพระอรหันต์ คำว่าเป็นพระอรหันต์มันสิ้นสุดของกิเลสแล้วมันเท่ากันเห็นไหม
เป้าหมายของชีวิตคือการชำระล้าง มันชำระล้างทุกเวลา ทุกตำแหน่ง ทุกหน้าที่ ไม่ใช่ว่าถึงเป้าหมายแล้วถึงจะชำระล้างได้ เด็ก ๗ ขวบเป็นพระอรหันต์ได้ ๑๐ ขวบ ๒๐ ขวบ ๑๐๐ ขวบ ๑,๐๐๐ ขวบ เป็นพระอรหันต์ได้ จะเป็นพระอรหันต์ตอนไหนเห็นไหม แต่นี่เป้าหมายชีวิตในการปฏิบัติของเรา ถ้าเราปฏิบัติที่นี่ไม่เหมือนเป้าหมายทางโลก เป้าหมายทางโลก ตั้งเป้าหมายไว้เลยนะ ชาตินี้จะมีตำแหน่งหน้าที่การงานอย่างนั้น ใครเกษียณแล้วจะไปเที่ยวรอบโลก โลกตัวเองมันไม่เที่ยว โลกของใจมันไม่รู้จัก นี่ถ้ารู้จักอย่างนี้ เห็นไหม เพราะเราไปตั้งเป้าหมายกันไว้อย่างนั้น พอเราตั้งไปอย่างนั้นปั๊บ คำว่าตั้งเป้าหมายอย่างนั้น นี่คือจริตนิสัยไง นี่คือสามัญสำนึก คือสัญชาตญาณของสมอง สัญชาตญาณของจิตมันคิดได้แค่นี้ ธรรมะมันพ้นออกไปจากความคิดอย่างนี้ จิตใจเข้มแข็งจิตใจแข็งแรง พ้นออกไปจากความคิดอย่างนี้ ไปเที่ยวในโลก จะเที่ยวรอบโลกตอนนี้เขาไม่เที่ยวกันแล้ว เขาจะไปเที่ยวดวงจันทร์กัน
พอเที่ยวดวงจันทร์กันต่อไปเขาจะไปเที่ยวดวงพระอาทิตย์กัน เดี๋ยวไปเที่ยวดวงอาทิตย์กันแล้วนะ เพราะอะไร เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันไม่มีวันพอหรอก มึงจะไปเที่ยวที่ไหน จะไปเที่ยวอีก ๕ รอบโลกด้วย ถ้ามึงเอาใจมึงไม่ได้ล่ะ แต่ถ้ามึงดูใจมึงจบแล้วมึงจะไปเที่ยวที่ไหน เนี่ย กามภพ รูปภพ อรูปภพนี่ ในวัฏฏะนี่ มันผ่านมาหมด
จิตนี่มันรื้อค้น มันชำระล้างมันจนสะอาดหมด มันจะไปไหน ผลของวัฏฏะกับ ผลของวิวัฏฏะ มันพ้นออกไปจากโลก พ้นออกไปจากจักรวาล พ้นจากกามภพ รูปภพ อรูปภพนี่ รูปภพ ๓ มันพ้นไปหมด ดีกว่าเป้าหมายอีก เราจะบอกว่าพอเราตั้งเป้าหมายทางโลกคือวิทยาศาสตร์ คือโลก โลกทัศน์มันเป็นอย่างนั้น พอโลกทัศน์มันเป็นอย่างนั้นมันเป็นเหมือนอุดมการณ์ มันเป็นวิสัยทัศน์ มันเป็นสิ่งที่เกิดจากจิต ใช่ไหม
พอเป้าหมายมันเป็นอย่างนี้ นโยบายมันเป็นอย่างนี้ ความคิดมันจะผิดหมดไง ความคิดจะเป็นโลกไปหมดเลย แต่ถ้าเราทำสัมมาสมาธิเข้ามา แต่ถ้าจิตใจแข็งแรงแล้วนี่ ตรงนี้มันจะไม่มีความผิด ถ้าเรามีความคิดอย่างนี้ โดยความคิดเป็นโลกอย่างนี้ ความเป็นไปอย่างนี้ กระบวนการคิด กระบวนการของศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นธรรม ธรรมที่เหนือโลกแต่ทำไมมันไปเอาเรื่องโลก เอาเรื่องวิทยาศาสตร์ เอาเรื่องความรู้ของตัว ควบคุม ศีล สมาธิ ปัญญาให้อยู่ในขอบเขตอย่างนี้
นี่ไง จิตใจอ่อนแอ อ่อนแออย่างนี้เห็นไหม แล้วถ้าจิตใจมันเข้มแข็งขึ้นมา มันวางหมด เกิดขึ้นจากสัจธรรม เกิดขึ้นจากความเป็นจริง เป็นจริงอย่างไร เกิดขึ้นอย่างไร ความจริงอย่างไร แล้วสมประโยชน์ของตัวอย่างไร มันรู้เห็นเป็นไปหมดนะ รู้เห็น เพราะว่ามันมีคนมาถามปัญหาตรงนี้หลายคน แล้วเขามาตอบการบ้านไงว่า พอกลับมาพุทโธแล้วมันสุดยอด สุดยอด พอสุดยอดขึ้นมาแล้ว ปัญญามันเกิดขึ้น ต่อยอดขึ้นไป ดีขึ้นไป พัฒนาขึ้นไป
เราถึงบอกอย่างนี้เห็นไหม เพราะเอ็ง ขนาดภาวนามานะ บอกให้กลับมาพุทโธนี่ เขาอึดอัดขัดข้องนะ แต่พอเขาจนตรอกแล้วไปทำ แล้วมาส่ง โอ้โฮ เพราะพุทโธนี่มันทำให้ขยายไปได้ คือเหมือนเรานี่นะทำอะไรก็แล้วแต่ แล้วแบบว่าจนตรอก มันไปไม่รอด แล้วไม่มีทางออกนะ พอกลับมาพุทโธ มันไปได้ใหม่ๆๆ กลับมาบอก โอ้โฮๆ ทั้งนั้นเลย เห็นไหม ถ้าจิตใจอ่อนแอมันเป็นอย่างนั้น ถ้าจิตใจเข้มแข็งโดยความเป็นจริงมันเป็นอย่างนี้ ครูบาอาจารย์ท่านเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว แล้วผู้ปฏิบัติจริงเห็นอย่างนี้ด้วย มันยิ่งเป็นพยานกับตัวคนนั้นเอง นี่เพราะในการประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง เอวัง